วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แจ๊คกี้เขียนถึงลูกหนังไทย โดย..แจ๊คกี้ : เบื้องหลังเมืองทองฯ-บีจี


ค่ำวันพุธที่ผ่านมาผมกลับเข้าไปยังยามาฮ่า สเตเดี้ยม เพื่อชมเกมระหว่างเมืองทองฯ ยูไนเต็ดกับบางกอกกล๊าส เอฟซี ตามจังหวะและโอกาสที่อำนวย


ปกติผมไม่ค่อยพลาด "โฮม เกม" หรือเกมนัดเหย้าของเมืองทองฯ ยูไนเต็ด ปีก่อนพลาดไป 2 นัดปีนี้สถิติเท่ากันที่ 2 นัด ไม่ได้ดูเกมในยามาฮ่า สเตเดี้ยม คือถ้าไม่ติดภารกิจเรื่องงานก็ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชมในสนาม ทั้งบทบาทของแฟนและคอลัมนิสต์ สนุกด้วยได้งานด้วยว่ากันอย่างนั้นครับ


ย้อนหลังในนัดแรกเล่นที่ลีโอ สเตเดี้ยม มีถ่ายทอดสดทางช่อง 7 วันนี้คนไทยทั้งประเทศได้ติดตามชมและเห็น "บรรยากาศ" เขียวขาวและแดงดำตัดกันอย่างได้สีสัน ภาพมุมกล้องของอัฒจันทน์สามชั้นของลีโอ สเตเดี้ยม จัดวางออกจอแล้วสวยงามมาก

ฟุตบอลสูสีเข้มข้น มีประตูเดียว...แต่ได้ทุกอย่างเพราะทั้งสองทีมตั้งใจเล่นบอลกันอย่างเต็มที่เพื่อชนะซึ่งกันและกัน ตอนนั้นโค้ชบีจี เอฟซี ยังเป็น สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ โดยผลแข่งนัดนั้น บีจีเฉือนเอาชนะจากจังหวะสับสนของนักเตะเมืองทองฯที่ อนาวิน จูจีน สะกิดบอลจากมุมธงออกไปแล้วได้เตะใหม่


ช่วงนั้นทดเวลา...พอสมาธิหลุดทำให้การเตะมุมใหม่เป็นประตูชัยของบีจี โดย อำนาจ แก้วเขียว ซึ่ง ณ เวลานั้น บีจี เอฟซี เป็นหนึ่งในสามทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ก่อนเปิดซีซั่น แต่มาวันนี้สถานการณ์ทุกอย่างแตกต่างสิ้นเชิง บีจีมาเยือนยามาฮ่า สเตเดี้ยม ในฐานะทีมใน 7 อันดับแรกของลีก


ตัวโค้ช, ผู้เล่นก็แตกต่าง มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในทีม ถ้านำชื่อนักเตะมาตีแผ่จัดได้ว่าบีจีชุดล่าสุดดูดีกว่าชุดเลกแรกที่ชนะเมืองทองฯ ก่อนด้วยซ้ำ เพียงแต่สถานะของพวกเขาไม่ใช่ทีมที่ร่วมลุ้นแชมป์ ที่สำคัญถ้าต้องการผลงาน เป้าหมายอันเป็นรูปธรรมอันดับในลีกต้องสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอลถ้วยสองของรายการต้องเป็นเป้าหมายหลัก...ของบีจี


อย่างไรก็ตาม เรื่องบอลถ้วยเอาไว้ทีหลัง เอาบอลลีกที่ทางฝั่งบีจีต้องชนะ"จ่าฝูง" ให้ได้ ทั้งด้วยศักดิ์ศรีของทีมตัวเองและทุกอย่างที่เป็นบอล


บอกตามตรงว่าไม่ผิดหวัง...ที่เห็นบีจี เอฟซี เล่นได้สมศักดิ์ศรีจริงๆ ตัวผู้เล่นที่จัดลงสนามของบีจี ตั้งแต่ กิตติศักดิ์ ระวังป่า คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ ภาณุวัฒน์ ไฟไหล-อำนาจ แก้วเขียว แบ็กสองข้าง ทนงศักดิ์ และ ทากิซาวะ...ไมเคิ่ล เบิร์น จนถึงกองหน้าที่ทั้งเร็วและคล่องอย่างอาจายี่ ต้องบอกว่าถ้านับเฉพาะชื่อนักบอลบีจีก็ลุ้นแชมป์ได้สบาย เพียงแต่ไม่ใช่เวลานี้


ส่วนเมืองทองฯ ยูไนเต็ด "แชมป์เก่า" ก็เปลี่ยนแปลงจากชุดแพ้ในเลกแรก ไม่มีตัวทีเด็ดยาย่า ไม่มีหัวใจแดนกลาง มูสซา ซิลล่า ซึ่งนัดนี้ตัวแทนได้เห็นฟอร์มกันแล้วคือหมายเลข 15 อับดุล คูลิบารี กองหลังคู่เซนเตอร์ ณัฐพร-เจษฎา แบ็กขวายังเป็น จักรพันธ์ แก้วพรม ที่กลายเป็นนักเตะอเนกประสงค์ไปแล้ว ตรงกลางใช้ ดัสกร, คูลิบารี และ ดักโน่ เซียก้า


แนวรุกทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา, คริสเตียน และโคเน่ ดูการจัดวางเป็นแบบ 4-3-3 เน้นเกมรุกและเป็นระบบสุดฮิตจากบอลโลกที่สามารถปรับเป็น 4-2-3-1 ได้ ที่สำคัญข้างหน้า 3 คนนั้นสลับตำแหน่งกันได้ ด้านข้าง, ตรงกลาง ตัวเป้า หรือถอยลงมา


ตรงนี้ผมสังเกตและจับตามองดู เรเน่ เดอซาเยียร์ ที่แม้เขาจะเป็นโค้ชฝรั่งจอมแอ็กชั่น แต่นั่นคือแคแรกเตอร์ของฝรั่งทั่วไปที่จริงจัง เน้นทุกรายละเอียด ถ้าดูบอลนอกคงพอมองเห็นว่าโค้ชฝรั่งจอมแอ็กชั่นมีมากมาย อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ก็คนหนึ่ง บางคนเลือกที่จะนิ่งแบบนั้นก็มี แต่เรเน่คงไม่ใช่ เพราะนั่นคือสิ่งที่เมืองทองฯ ต้องการให้โค้ชมืออาชีพนำประสบการณ์สำคัญมาถ่ายทอด


สิ่งที่เห็นเป็นตัวอย่างนะครับอย่างเช่น...แนวรุกทั้ง 3 คนนั้นจะถูกเรเน่สั่งให้สลับตำแหน่งกันตลอดเวลา ถ้า ธีรศิลป์ถอยต่ำ คริสเตียนซึ่งอาจเดินหรือวิ่งด้านข้างจะถูกเรเน่ตะโกนสั่งให้ไปยืนค้ำกับ อำนาจ แก้วเขียว อย่างนี้เป็นต้น นี่คือรายละเอียดของ game plan หนึ่งเรื่องจากร้อยๆเรื่องในสนาม


คือคุณจะยืนสะเปะสะปะตรงนั้นตรงนี้ไม่ได้ บอลมันมีตำแหน่งการยืนที่ไม่ตายตัวแต่มันต้องมี โดยเฉพาะกับการที่ต้องสลับตำแหน่งกันอย่างหน้า 3 คน ไม่งั้นก็วิ่งชนกัน ทับตำแหน่งกัน วิ่งชนกันเหมือนที่เราเห็นบ่อยๆในบ้านเรา ถามว่า 3 แนวรุกของเมืองทองฯ ทราบก่อนลงสนามมั้ย


คำตอบคือ ทราบ...แต่ในเกมบางทีลืม หรือไม่ก็เหนื่อยล้า...โค้ชมีหน้าที่กำกับเกมข้างสนามจะต้องแสดงท่าทีออกมาทันที ผมเห็นเรเน่ตะโกนสั่งงานทุกคน หากใครละเลยหน้าที่ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาก็จะรอจังหวะ


ที่เขียนมาไม่ใช่เรเน่พิเศษอะไรขนาดนั้น แต่นี่คือการทำงานของโค้ชฝรั่งทุกรายละเอียดสำคัญมาก และผมไม่ประหลาดใจว่าเมืองทองฯ ปีนี้ ผสมผสานนักเตะใหม่อย่าง โคเน่, ดัสกร, คริสเตียน ให้เล่นกับทีมเก่าได้อย่างไร ปีนี้ทีมจึงเล่นดีกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าจะเล่นดีกว่าแต่ทีมเยือนก็มาแบบไม่ธรรมดา


โดยภาพรวมเมืองทองฯ ได้สัดส่วนการครองบอลที่เหนือกว่า โดยเฉพาะครึ่งแรกชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้เมืองทองฯ ชนะได้เป็นเพราะ "จังหวะจบ"เด็ดขาดแน่นอนกว่า ลูกยิงของโคเน่อันคลาสสิกสามเหลี่ยมบนกับลูกยิงของ ธีรศิลป์ที่ซัดเข้าไปเต็มข้อแถมเข้ากลางประตูอีกต่างหาก


ขณะที่บีจีมีโอกาสจะจะชัดเจน 3-4 ครั้งที่จะได้ประตู ทั้งชนคานสองครั้ง หลุดเดี่ยวของอาจายี่, ซารูตะ แต่ไม่ได้ประตู บวกกับจังหวะเซฟแบบสุดยอดของ กวิน ธรรมสัจจานันท์ ที่แสดงให้เห็นว่า "มือหนึ่ง" ทีมชาติไม่ได้มาเพราะบังเอิญ การ "ยิงประตู" คือสิ่งที่ทำให้บีจีแพ้


ความเด็ดขาดตรงนี้ชัดเจนว่าเมืองทองฯ มีมากกว่าทุกทีม อย่างไรก็ตาม ชัยชนะทั้งหมดเป็นของวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง เพราะบอลเล่นสนุกทั้งสองทีม บรรยากาศเร้าใจ ตื่นเต้น กองเชียร์บีจี ขนมาจากรังสิตกันชุดใหญ่ เจ้าบ้านไม่น้อยหน้าเข้ามาจนเก็บบัตรได้ 1.04 ล้านบาท แขกระดับวีไอพีเพียบ ดาราก็มาดูกันหลายคนที่ผมรู้จักคุ้นเคยก็ "เจ้าป้อง-ณวัฒน์"พระเอกละครที่เล่นให้เอ็กแซ็กท์บ้างช่อง 3 บ้าง

ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหนักในเกม โห่ฮาด่ากันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีลุกลามประเภท "บอลแพ้คนไม่แพ้" เป็นภาพที่สวยงามอีกเกมหนึ่งที่ผมอยากให้เป็นแบบนี้ บรรยากาศเกมแบบนี้ให้ 9 จาก 10 เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ perfect ten ครับ


Jackie

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น